ชิปปิ้งจีน ไข 10 ความลับของอุตสาหกรรม E-Commerce ในอนาคตอันใกล้

ชิปปิ้งจีน ไข 10 ความลับ papershipping-01 ชิปปิ้งจีน ชิปปิ้งจีน ไข 10 ความลับของอุตสาหกรรม E-Commerce ในอนาคตอันใกล้ 10                       papershipping 01 768x402

ชิปปิ้งจีนตามติดความเคลื่อนไหว หลังเศรษฐกิจซบเซา บรรยากาศการค้าขายที่เป็นไปอย่างเงียบเหงา ผู้คนหลีกหนีจากไวรัสและโรคระบาดร้ายแรง

แต่ในไม่ช้า ร้านค้าต่างๆ จะเริ่มทยอยฟื้นตัวขึ้นอีกครั้ง ซึ่งวิธีที่แบรนด์ต่างๆ เลือกใช้เพื่อให้การเข้าถึงผู้คน ง่ายและรวดเร็วที่สุด คือการใช้เครื่องมือทางดิจิทัลเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของธุรกิจ

ในอนาคต คุณอาจเห็นโลกของเรากลายเป็นร้านค้าออนไลน์หรือที่เรียกว่า การทำธุรกิจ E-Commerce เพราะแบรนด์ต่างๆ สามารถเชื่อมต่อถึงกันได้ผ่านสมาร์ทโฟน วิดีโอ และการสตรีมสด

Papershipping ผู้ให้บริการนำเข้าสินค้าจากจีนหรือชิปปิ้งจีน ได้รวบรวมข้อมูลที่น่าสนใจ ซึ่งเป็นที่คาดการณ์กันว่า คือแนวโน้มของธุรกิจ E-Commerce ที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้

  1. E-Commerce มีส่วนแบ่ง แต่การเติบโตเป็นไปอย่างช้าๆ

แม้ว่าเส้นแบ่งระหว่างการค้าแบบทางกายภาพและแบบดิจิทัลจะพร่ามัว แต่ความแตกต่างในการเติบโตของการค้าปลีกและ E-Commerce ยังคงเป็นไปโดยสิ้นเชิง โดยรวมแล้วตลาดค้าปลีกทั่วโลก คาดว่าจะอยู่ในระดับสูงสุดที่ 25 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปีนี้ แม้ว่าการเติบโตจะชะลอตัวลงอย่างมาก เมื่อเทียบกับ 5 ปีก่อนและไม่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นถึงปี 2024

  1. เร่งการขายตรงสู่ผู้บริโภคและภาคเอกชน

จำนวน 16% ของยอดค้าปลีกทั้งหมด คาดว่าจะเกิดขึ้นทางออนไลน์ในปีนี้ ผู้ผลิตและแบรนด์ดั้งเดิม จะเลี่ยงผ่านคู่ค้าปลีกและขาย DTC (Direct-to-Consumer Marketing คือ การตลาดที่เข้าถึงผู้บริโภคโดยตรง) มากขึ้น ในความเป็นจริง มันคือการเติบโตของ E-Commerce ที่ช่วยให้ผู้ผลิตชดเชยยอดขายจากภายในห้างที่มียอดการเติบโตที่นิ่งไป

  1. การค้าบนมือถือแพร่หลายในวงกว้าง

ภายในปี 2021 นักวิเคราะห์ประเมินไว้ว่า 54% ของยอดขาย  E-Commerce ทั้งหมดที่จะเกิดขึ้นจากอุปกรณ์พกพาทั่วโลก ซึ่งคาดว่าการค้าบนมือถือจะแพร่หลายมากขึ้น แต่ถึงแม้ว่าร้านค้าจะมีแพลตฟอร์ม E-Commerce ที่มีไซต์ตอบสนองได้นั้น ก็ไม่ได้หมายความว่าคุณจะมอบประสบการณ์น่าประทับใจของการใช้งานมือถือเสมอไป มีงานวิจัยที่ระบุว่า 53% ของผู้บริโภคจะละทิ้งเว็บไซต์ ที่ใช้เวลาโหลดนานกว่า 3 วินาที และยังชี้ให้เห็นว่ามือถือ มีอัตราตีกลับเป็น 10%-20% สูงกว่าเดสก์ท็อป

  1. E-Commerce ทั่วโลกเฟื่องฟู นอกจากสหรัฐอเมริกา

ยอดขาย E-Commerce ทั่วโลกคาดว่าจะอยู่ที่ 4.2 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปีนี้ และอาจสูงกว่า 6.5 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปี 2023 คาดว่าผู้ซื้อมากกว่า 2.1 พันล้านรายจะซื้อสินค้าและบริการออนไลน์ในปี 2021 โดยเฉพาะผู้ซื้อออนไลน์เหล่านี้อาศัยอยู่สหรัฐอเมริกา

ภายในสิ้นปี 2020 คาดว่าจะมีผู้คนซึ่งเป็นชนชั้นกลางของโลกราว 1.4 พันล้านคน ส่วนใหญ่ประมาณ 85% อยู่ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (APAC) ซึ่งจะเห็นว่า E-Commerce โดยรวมได้เปลี่ยนแปลงไปจากกลุ่มตะวันตกแล้ว ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก E-Commerce เติบโตสูงขึ้น 25% จากปีที่แล้ว และประเทศที่มีการเติบโตของ E-Commerce รวดเร็วที่สุดมาจากเอเชียแปซิฟิก, ละตินอเมริกา โดยเฉพาะเม็กซิโก เป็นประเทศที่มีการเติบโตของ E-Commerce สูงที่สุดในโลก ส่วนจีน มีส่วนแบ่งของตลาด E-Commerce ทั่วโลกอยู่ที่ 54.7% หรือเกือบ 2 เท่าของ 5 ประเทศรวมกัน ได้แก่ สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และเยอรมนี

  1. พลังการผลิตอัตโนมัติ

ธุรกิจจะเพิ่มการดำเนินงานในระบบอัตโนมัติในปีหน้า ว่ากันว่า ระบบอัตโนมัติมีประโยชน์อย่างยิ่งต่อแบรนด์ที่กำลังขยายตัวในต่างประเทศ ซึ่งต้องมีการดำเนินงานร้านค้าหลายแห่ง ต้องมีสินค้าคงคลังขนาดใหญ่และเครือข่ายการทำงาน โดยเฉลี่ยแล้วธุรกิจระหว่างประเทศ จะมีการจัดส่งหรือบริการชิปปิ้งจีนไปยัง 31 ประเทศทั่วโลก และแบรนด์ต่างๆ กำลังใช้ E-Commerce เพื่อขยายธุรกิจให้เติบโตเร็วขึ้นและเพิ่มประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นด้วย

  1. E-Commerce ที่ยั่งยืนเป็นสิ่งสำคัญ

ผู้บริโภคจะมีความภักดีและเลือกใช้บริการกับแบรนด์ที่ให้คุณค่าและมีจิตสำนึกรักษ์โลกมากขึ้น นั่นหมายความว่า พวกเขาอยากให้แบรนด์เป็นมิตรกับโลก เช่น มีการดำเนินงานในห่วงโซ่อุปทานเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและลดของเสียที่เกิดจากบรรจุภัณฑ์

  1. แบรนด์ท้องถิ่นก้าวเข้าสู่ดิจิทัล-ออฟไลน์

สำหรับแบรนด์ใหม่ๆ หรือร้านค้าท้องถิ่น การทำให้เป็นที่รู้จักสำหรับผู้บริโภค วิธีที่ง่ายที่สุดคือการใช้เครื่องมือออนไลน์  ซึ่งการค้าปลีกบนมือถือนั้น จะช่วยให้ผู้บริโภคสามารถโต้ตอบกับแบรนด์ในโลกแห่งความเป็นจริงได้ ช่วยให้แบรนด์มีส่วนร่วมกับผู้บริโภค อาจเริ่มต้นด้วยการโปรโมตโฆษณาบนโซเชียลมีเดีย ก่อนที่ร้านค้าจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการ สิ่งนี้ถือเป็นกลยุทธ์ที่ทำให้กำหนดกลุ่มเป้าหมายได้ง่ายที่สุด เป็นการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ แทนที่จะเป็นการเพิ่มยอดขาย เป็นการมอบความรู้ให้กับผู้บริโภค และเปลี่ยนจากการโฟกัสจากส่วนลด สู่การพัฒนาที่ยั่งยืน

  1. ความคาดหวังของการปฏิบัติตามและค่าใช้จ่ายที่พุ่งสูงขึ้น

ความคาดหวังของผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้น เกี่ยวกับความเร็วในการขนส่งและค่าใช้จ่ายกำลังเปลี่ยนแปลงไปในปีนี้  นักวิเคราะห์ประเมินว่า 65% ของผู้ค้าปลีกจะนำเสนอการส่งมอบภายในวันเดียวกันและกลายเป็นบรรทัดฐาน จำนวน 2 ใน 3 ของผู้บริโภคกล่าวว่า หนึ่งในเหตุผลหลักที่จะทำให้พวกเขาละทิ้งตะกร้าสินค้าดิจิทัล คือ การจัดส่งสินค้าหรือบริการชิปปิ้งจีนที่มีราคาแพง และการจัดส่งล่าช้า ดังนั้นควรเช็คและบริหารประสานงานจัดการกับบริษัทขนส่งหรือผู้ให้บริการชิปปิ้งจีนให้ลงตัว

  1. การเปลี่ยนแปลงเส้นทางการซื้อ

เชื่อไหมว่า 35% ของครอบครัวในสหรัฐทั้งหมด มีลำโพงอัจฉริยะอย่างน้อย 1 ตัว และผู้บริโภคจำนวนมากมีมากกว่า 1 คน ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไม 26% ของผู้บริโภคได้ทำการซื้อลำโพงสมาร์ท (คำสั่งเสียง) ในปี 2019 สิ่งนี้ไม่เพียงแนะนำเส้นทางการซื้อที่เริ่มต้นขึ้นผ่านทางเสียงเท่านั้น แต่ยังบอกเป็นนัยๆ ว่า ผู้บริโภคมีแนวโน้มที่จะซื้อสิ่งที่พวกเขาต้องการมากขึ้นผ่านทางเสียงในอนาคต

  1. นักการตลาดกำหนดเป้าหมาย , ช่องทางใหม่ และอุปกรณ์

Connected TVs (หรือที่เรียกว่า สมาร์ททีวี) และเสียงจะปรากฏเป็นแหล่งโฆษณาใหม่สำหรับนักโฆษณา จากสถานการณ์วัน Black Friday ปี 2019 บริษัทได้แนะนำ Connected TVs ได้กลายเป็นอุปกรณ์ที่จำเป็นสำหรับนักการตลาด ในขณะที่ Facebook และ Instagram ยังเป็นพื้นฐานสำหรับการอยู่รอดของหลายๆ แบรนด์ ที่ไว้วางใจ แต่คาดว่าโฆษณาจะมีการเติบโตอย่างมาก อย่างไรก็ตาม Trade Desk เป็นแพลตฟอร์มโฆษณาเชิงโปรแกรม ที่แสดงให้เห็นถึงแรงผลักดันของอุปกรณ์ และช่องทางใหม่ๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้นในปีนี้ 

หรือสามารถศึกษา 5 เทคโนโลยีอันทรงพลังต่อธุรกิจการค้าปลีก เพื่อนำมาปรับประยุกต์ใช้กับธุรกิจ E-Commerce ในสถานการณ์ช่วงนี้ได้ นำไปสู่ความก้าวหน้าในอนาคต

อ้างอิงข้อมูล https://www.shopify.com/enterprise/the-future-of-ecommerce